หากใครกำลังจะเลือกซื้อแอร์หรือเครื่องปรับอากาศไว้ใช้งานในห้องสักตัว ที่มีความเย็นเหมาะสมกับขนาดห้อง มีความทนทานใช้งานได้นานอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มความรู้สึกคุ้มค่าหากได้แอร์มา และมีต้องเป็นแอร์ที่ประหยัดไฟด้วย
ด้วยการตั้งเกณฑ์การซื้อเหล่านี้และเครื่องปรับอากาศซึ่งมีหลากหลายรุ่น หลายขนาด รวมไปถึงเครื่องปรับอากาศที่ใช้งานได้จริงและไม่ตรงปกปะปนกันอยู่ ทำให้เกิดความลังเลตามมามากมาย ด้วยความกังวลเหล่านี้ที่คุณกำลังเผชิญอยู่ ผมมีเคล็ดไม่ลับอย่างวิธีเลือกแอร์ง่าย ๆ มาฝากเป็นเกร็ดความรู้เพื่อคำไปเลือกซื้อแอร์กันครับ
1. เลือกแอร์ตามขนาดของเครื่องปรับอากาศ
						
					ขนาดของเครื่องปรับอากาศจะมีหน่วยเป็น BTU ซึ่งจะใช้วัดความเหมาะสมกับขนาดของห้อง และยังเป็นเรื่องสำคัญมากที่คนซื้อจะต้องรู้หน่วยของแอร์ และถึงแม้ว่าจะรู้หน่วยขนาดของแอร์แล้วแต่ขนาดแอร์ที่เหมาะสมกับขนาดห้องมีรายละเอียดค่อนข้างเยอะ หากใครอยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติมให้อ่านบทความ BTU แอร์ได้เลย
แต่เพื่อความสะดวก คุณสามารถดูข้อมูลขนาดแอร์เหล่านี้ เพื่อนำไปเป็นตัวอย่างอิงให้เลือกซื้อกับขนาดของห้องที่เหมาะสมได้เลย
- 9000 BTU เหมาะสำหรับห้องขนาด 11 – 15 ตารางเมตร ตอบโจทย์สำหรับห้องนอนขนาดเล็ก
 - 12000 BTU เหมาะสำหรับห้องขนาด 16 – 20 ตารางเมตร ตอบโจทย์สำหรับห้องนอนปานกลาง หรือห้องทำงานส่วนตัวขนาดเล็ก
 - 15000 BTU เหมาะสำหรับห้องขนาด 21 – 25 ตารางเมตร ตอบโจทย์สำหรับห้องนอนขนาดใหญ่
 - 18000 BTUเหมาะสำหรับห้องขนาด 26 – 30 ตารางเมตร ตอบโจทย์สำหรับห้องนั่งเล่นขนาดทั่วไป
 - 21000 BTU เหมาะสำหรับห้องขนาด 31 – 35 ตารางเมตร ตอบโจทย์สำหรับห้องรับแขกขนาดใหญ่
 - 24000 BTU เหมาะสำหรับห้องขนาด 36 – 40 ตารางเมตร ตอบโจทย์สำหรับห้องจัดงานเลี้ยง
 
2. ให้ดูระบบที่เป็น INVERTER
วิธีเลือกแอร์ ให้เย็นฉ่ำต่อเนื่อง ควรเลือกระบบที่เป็นแอร์ INVERTER เพราะทำงานได้เสถียร นิ่งและประหยัดไฟกว่าระบบ FIXED SPEED ที่ทำงานไปสักพักและตัดการทำงาน
นอกจากนี้ระบบ INVERTER ยังทำงานได้ทนทานมากกว่า ใช้งานได้ยาวนานซึ่งคุ้มค่าในระยะยาวมากกว่านั่นเอง แต่อย่างไรก็ตามระบบแอร์อินเวอร์เตอร์ยังมีราคาสูงกว่าแอร์ปกติ แต่ด้วยนวัตกรรมที่พัฒนาตลอดเวลา ซึ่งแอร์ INVERTER รุ่นใช้งานทั่วไปราคาไม่สูงมากและจับต้องได้ง่ายครับ
9 อันดับแอร์อินเวอร์เตอร์ ยี่ห้อไหนดี เย็นฉ่ำ ประหยัดไฟ เสียงเบาและทนทาน
3. พิจารณาตามประเภทของแอร์
						
					แอร์แต่ละชนิดมีการใช้งานที่แตกต่างกัน โดยวิธีกเลือกแอร์นั้น เราควรเลือกประเภทให้เหมาะสมต่อการใช้งานด้วยนั่นเอง
- แอร์ติดผนัง (Wall-Mounted Air Conditioner) คือ เครื่องปรับอากาศที่คำไปติดตั้งที่ผนังกำแพง โดยคนส่วนมากนิยมใช้ในห้องนอนส่วนตัว ห้องนั่งเล่น และห้องทำงาน
 - แอร์เคลื่อนที่ (Portable Air Conditioner) คือแอร์ที่ไม่ต้องติดตั้ง สามารถเคลื่อนที่ได้ตามต้องการ และจะมีขนาด BTU น้อยเพราะเป็นประเภทที่นิยมใช้งานชั่วคราวนั่นเอง
 - แอร์แขวนหรือแอร์ใต้ฝ้า (Ceiling-Mounted Air Conditioner) นิยมใช้ในร้านอาหาร เนื่องจากตัวแอร์ทีขนาด BTU ให้จึงเหมาะสำหรับห้องที่กว้างขึ้นมา
 - แอร์แบบฝังฝ้า (Cassette Air Conditioner) นิยมใช้ในร้านอากาศ หอประชุม โถงต่าง ๆ แอร์ประเภทนี้จะติดตั้งเพื่อกระจายทิศได้อย่างมีประสิทธิภาพและความสวยงามของห้องไว้นั่นเอง
 
4. พิจารณาถึงความทนทาน
ความทนทานเป็นสิ่งที่ควรพิจารณามาก เพราะแอร์ที่มีประสิทธิภาพซึ่งยิ่งใช้งานได้นานมากเท่าไหร่ยิ่งเพิ่มความคุ้มค่าต่อผู้ใช้ได้มากเท่านั้น โดยหลักวิธีเลือกแอร์ควรอ่านรายละเอียดวัสดุที่ผลิต คอยล์ทองแดง 100% และอื่น ๆ
แต่วิธีการที่ง่ายที่สุดสำหรับมือใหม่คือ ให้เลือกดูประกันสินค้าแอร์ ซึ่งแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ที่จะประกันเครื่องและประกันคอมเพรสเซอร์ เป็นหลักประกันเพิ่มความอุ่นใจให้ผู้ใช้งานได้เป็นอย่างดี
5. ดูสัญลักษณ์ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5
แอร์เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าเปลืองไฟอย่างที่รู้กันอยู่แล้ว ซึ่งยี่ห้อแต่ละเจ้าต่างแข่งขันผลิตแอร์ที่มีประสิทธิภาพและช่วยประหยัดไฟได้ระยะยาว และหลักการเลือกเครื่องปรับอากาศที่ประหยัดไฟที่คู่กับคนไทยมาคือดูสัญลักษณ์ประหยัดไฟเบอร์ 5 นั่นเอง
และตัวเสริมอีกตัวหากเลือกแอร์ Inverter ค่า SEER ถือว่าเป็นอีกตัวพิจารณานึงที่ช่วยให้รู้ว่าประหยัดไฟมากน้อยแค่ไหน เพราะถ้าค่า SEER มีค่ามากแสดงว่าประหยัดไฟ แต่ถ้าหาก SEER มีค่าน้อยแสดงว่าใช้ไฟมากนั่นเอง
						
					แอร์ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ที่คุณอาจสนใจ
6. โหมด Sleep ที่เสียงเบา
โหมดสลีปของเครื่องฟอกอากาศนั้นมีทุกเครื่อง โดยระบบจะหรี่ไฟและลดเสียงการทำงานลงให้เบาเพื่อลดการรบกวนผู้ใช้งาน ซึ่งเมื่อเราเลือกเครื่องปรับอากาศระบบ Inverter แล้วเสียงของการทำงานจะเบากว่าแอร์ปกติ
สิ่งที่ต้องดูข้อมูลที่เขาให้มาคือ หน่วยเดซิเบลยิ่งแอร์เครื่องนั้นมีระดับเสียงที่เบาจะมีระดับเดซิเบลน้อย และหากมีเสียงดังจะดีหน่อยเดซิเบลเยอะนั่นเอง
7. ฟังก์ชันเสริมเติมความสะดวกให้ชีวิต
แม้ว่าฟังก์ชันการใช้งานพื้นฐานถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานแล้ว หากผู้ผลิตนั้นย่อมออกแบบฟังก์ชันต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้งานมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแอร์ที่มีระบบฟอกอากาศในตัว ควบคุมผ่านเสียง การตั้งเวลาเปิด-ปิด การล้างทำความสะอาดแบบอัตโนมัติ
ซึ่งฟังก์ชันเหล่านี้นับว่าเอื้อความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งานได้ดีมาก ๆ หากใครที่มีงบประมาณเพียงพอ การเลือกแอร์ที่มีฟังก์ชันเหล่านี้จะช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้นมากครับ
สรุป
วิธีเลือกแอร์ที่ผมได้นำมาแนะนำ เป็นหลักการที่ใช้พิจารณาเบื้องต้นเพื่อการคัดเลือกแอร์ที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง แต่สิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้เพื่อเลือกแอร์ให้ตรงสเปคมากขึ้น คือขนาดของห้อง และงบประมาณที่สอดคล้อง เพื่อช่วยคัดกรองแอร์ที่ตอบโจทย์ตัวเองมากขึ้นนั่นเองครับ

